Last updated: 20 ก.ย. 2567 | 9545 จำนวนผู้เข้าชม |
เรตินอลคืออะไร?
เรตินอลเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอที่พบได้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายชนิด เมื่อทาลงบนผิว เรตินอลจะเปลี่ยนเป็นกรดเรติโนอิก (Retinoic Acid) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์กับผิวโดยตรง
เรตินอลเป็นส่วนผสมยอดฮิตในวงการสกินแคร์ที่ขึ้นชื่อเรื่องการฟื้นฟูผิวและลดเลือนริ้วรอย แต่ก็มีข้อควรระวังที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน วันนี้เราจะมาเจาะลึกทั้งข้อดีและข้อเสียของเรตินอล เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ว่าเรตินอลเหมาะกับผิวของคุณหรือไม่
ข้อดีของเรตินอล
- ลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่น: เรตินอลช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึงและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย
- ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ: เรตินอลช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสขึ้น ลดเลือนจุดด่างดำและรอยสิว
- ลดความมันและสิวอุดตัน: เรตินอลช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน ลดการอุดตันของรูขุมขน จึงช่วยลดปัญหาสิว
- กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่: เรตินอลช่วยให้ผิวดูสดใสและมีสุขภาพดีขึ้น
ข้อเสียของเรตินอล
- ผิวระคายเคือง: โดยเฉพาะผู้ที่ผิวบอบบางแพ้ง่าย อาจมีอาการผิวแห้ง แดง ลอก หรือคัน
- ผิวไวต่อแสงแดด: เรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
- ใช้ไม่ได้กับทุกคน: สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตรไม่ควรใช้ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารก
- ต้องใช้เวลาเห็นผล: อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
คำแนะนำสำหรับการใช้เรตินอล
- เริ่มต้นอย่างช้าๆ: เริ่มจากความเข้มข้นต่ำๆ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แล้วค่อยๆ เพิ่มความถี่และความเข้มข้นเมื่อผิวปรับตัวได้
- ทาในตอนกลางคืน: เพราะเรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดด
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ: ทุกเช้าเพื่อป้องกันผิวจากแสงแดด
- ปรึกษาแพทย์: ก่อนใช้เรตินอล หากคุณมีผิวแพ้ง่าย หรือมีโรคผิวหนังอื่นๆควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ทำอย่างไรเมื่อทาเรตินอลแล้วสิวเห่อหนักกว่าเดิม?
เรตินอลเป็นส่วนผสมที่ทรงพลังในการดูแลผิว แต่ก็อาจทำให้เกิดอาการสิวเห่อขึ้นได้ในช่วงแรก ๆ หรือที่เรียกว่า "Retinol purging" เป็นคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิว ทำให้สิวอุดตันที่อยู่ใต้ผิวถูกดันออกมา จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีสิวขึ้นในช่วงแรกๆ ที่ใช้ แต่ถ้าสิวขึ้นเยอะมากผิดปกติ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ผิวลอก แดง คัน อาจเป็นสัญญาณว่าผิวของคุณกำลังระคายเคืองอย่างรุนแรง
วิธีรับมือเมื่อสิวเห่อหลังทาเรตินอล
- ใจเย็น ๆ และอดทน: อาการสิวเห่อมักจะดีขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ หากเกินกว่านั้นหรือมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
- ลดความถี่ในการใช้: ลดความถี่ในการทาเรตินอลลง เช่น จากทุกวัน เป็น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า
- บำรุงผิวอย่างอ่อนโยน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสูตรอ่อนโยน และครีมบำรุงที่ช่วยปลอบประโลมผิวและลดการระคายเคือง เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ ไฮยาลูรอนิก หรือว่านหางจระเข้
- อย่าแกะหรือบีบสิว: เพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นและติดเชื้อได้
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำ: เรตินอลทำให้ผิวไวต่อแสงแดด จึงต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกเช้า
- รักษาความสะอาด: ทำความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำ เช้า-เย็น ด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
- ปรึกษาแพทย์ : แพทย์จะช่วยหาสาเหตุที่แท้จริงว่าสิวที่ขึ้นเยอะเกิดจากอะไร เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม รักษาอาการระคายเคืองต่างๆ ที่เกิดขึ้น และอาจจ่ายยาเพื่อควบคุมสิว
เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อทาเรตินอลแล้วสิวเห่อ?
- เมื่อสิวเห่อหนัก: ถ้าสิวขึ้นเยอะจนรับไม่ได้ หรือเป็นสิวอักเสบรุนแรง
- ผิวระคายเคืองรุนแรง: มีอาการผิวแห้ง ลอก แดง คัน หรือแสบร้อน
- ใช้วิธีอื่นแล้วไม่ดีขึ้น: ลองลดความถี่ในการใช้ ลดความเข้มข้นของเรตินอล หรือใช้มอยส์เจอไรเซอร์แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์
สรุป
เรตินอลเป็นส่วนผสมที่ทรงประสิทธิภาพในการดูแลผิว ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สดใส และมีสุขภาพดี หากคุณสนใจใช้เรตินอล ควรเริ่มต้นอย่างช้าๆ และปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์และวิธีใช้ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ